หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามว่า ที่เรามักพูดกันว่าเป้าหมายสูงสุดของชีวิตคือการมีความสุขนั้น จริงๆ แล้วมันยังมีอย่างอื่นอีกไหม มีอะไรที่จะเติมเต็มชีวิตคนเราจากส่วนลึก ให้ความรู้สึกอิ่มเอมใจได้มากกว่า “ความสุข” แบบลอยๆ ไหม การไขว่คว้าหาความสุขมากเกินไปทำให้เราคลาดจากสิ่งสำคัญและสิ่งที่มีความหมายในชีวิตหรือเปล่า มนุษย์มีแรงขับพื้นฐานอื่นๆ นอกจากการแสวงหาความสุขและหลีกเลี่ยงความทุกข์ไหม แล้วผู้เขียนก็นำเสนอ (ผ่านเรื่องเล่าและงานวิจัยทางจิตวิทยาและสังคมศาสตร์หลายๆ ชิ้น) ว่ามนุษย์ยังมีแรงขับในการแสวงหา “ความหมายชีวิต” ด้วย และสิ่งนี้เองที่เติมเต็มจิตใจเราอย่างลึกล้ำ และทำให้ชีวิตเรามีพลัง
.
จากนั้นผู้เขียนก็พยายามหาคำตอบว่า แล้วชีวิตที่มีความหมายมีองค์ประกอบอะไรร่วมกันอยู่บ้าง อะไรที่ทำให้ชีวิตคนเรามีความหมายขึ้นมา เราจะพบความหมายผ่านช่องทางไหนได้บ้าง
.
ระหว่างหาข้อมูลประกอบการเขียน ผู้เขียนก็พบว่าการแสวงหาความหมายนี้ไม่ใช่เรื่องนามธรรมไกลตัว หรือต้องออกเดินทางไปดินแดนห่างไกล แต่แหล่งกำเนิดความหมายในชีวิตคนเรานั้นมีอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว รอให้เราได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์ ซึ่งผู้เขียนเรียกว่า สี่แกนหลักของความหมาย (Belonging – ความรู้สึกผูกพัน เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน, Purpose – จุดมุ่งหมาย, Storytelling - การเล่าเรื่องราวชีวิต, Transcendence - การข้ามพ้นตัวตน) + Post-Traumatic Growth (การเติบโตหลังผ่านเรื่องร้ายๆ หรือเหตุการณ์บอบช้ำจิตใจ) ซึ่งหนังสือเล่มนี้พยายามแจกแจงรายละเอียดออกมา
.
แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกว่าชีวิตคืออะไร หรือความหมายของชีวิตคืออะไร เพราะแต่ละคนต้องเป็นคนตอบคำถามนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งคำตอบที่ได้ก็อาจแตกต่างกันไป ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปตายตัวใดๆ
.
“รอบตัวเราเต็มไปด้วยแหล่งกำเนิดความหมายของชีวิต...หนังสือเล่มนี้จะเผยให้เห็นว่าแหล่งกำเนิดความหมายของชีวิตคืออะไร และเราจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อให้ชีวิตเรามีความหมายลึกซึ้งมากขึ้นได้อย่างไร” - The Power of Meaning